ครีมเทียม - ครีมเทียม นิยาย ครีมเทียม : Dek-D.com - Writer

    ครีมเทียม

    ผู้เข้าชมรวม

    186

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    186

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  อื่นๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 ก.ค. 65 / 18:40 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ครีมเทียม

    สมัยเมื่อผมอายุได้ 6-7 ขวบ ทุกๆ เช้าผมต้องถูกแม่บังคับให้ไปซื้อกาแฟร้อน ที่ร้านเจ๊หมวย ที่ตลาดสดเกือบทุกวัน เป็นเพราะแม่ต้องตื่นดึกๆ ทำขนมขาย และเพื่อขจัดความง่วงนอน  จึงต้องใช้กาแฟเป็นที่พึ่ง  กล่าวได้ว่า  คนในตลาดที่ทำมาค้าขาย จำต้องพึ่งพากาแฟ กินเพื่อให้ตาสว่าง ทุกร้านที่ผมเห็น จะมีลูกค้าเต็มเกือบทุกร้าน กาแฟร้อนในขณะนั้น ราคาเพียง (แก้วละ) กระป๋องละ 0.50  บาท เท่านั้นเอง   ยุคนั้นเหรียญห้าสิบสตางค์ซึ่งเป็นเหรียญตะกั่ว ออกสีเทาดำ ยุครัชกาลที่ ๘ มีขนาดใหญ่มาก (ผมยังมีโอกาสได้ใช้)

    บ่อยๆ ครั้ง.ที่ผมไปซื้อกาแฟร้อน  ทางร้านที่ขาย ยังเพิ่งจะลุกขึ้นมาต้มน้ำให้ร้อน  ผมจึงต้องนั่งรอจนกว่าน้ำจะเดือด  พอมาถึงบ้านก็ถูกแม่บ่นเสมอๆ  วิธีการของทางร้าน เวลาชงกาแฟร้อนให้ลูกค้า เขาจะเตรียมเอากระป๋องนม  ที่ล้างทำความสะอาดแล้วมาชงใส่ลงไปในกระป๋อง ตรงฝากระป๋องนมทางร้านจะเจาะรู  แล้วใช้เชือกกล้วยที่ตากแห้งแล้วแยงเข้าไปในรู เพื่อทำที่ห้อยสำหรับใช้หิ้วกลับบ้าน  เชือกกล้วยที่ว่านี้ ก่อนใช้ต้องจุ่มน้ำเสียก่อน   ช่วงจุ่มน้ำแล้ว เชือกจะเหนียวมากดึงอย่างไรก็ไม่ขาด   จากบ้านผมมาตลาดมีระยะทางไม่ไกลนัก ร้านจำหน่ายกาแฟในตลาดสด ในขณะนั้นมี 4 เจ้า คือร้านเจ๊หมวย ร้านตาเผือก ร้านนายซ้ง และร้านนายสง่า ซึ่งเป็นพ่อของเพื่อนร่วมชั้นเรียน

    รสชาติกาแฟร้อน ชาร้อน ที่พ่อและแม่ ของผมถูกปากที่สุด...  คือร้านเจ๊หมวย ยุค 50-60 ปีก่อนโน้น กาแฟร้อน  กาแฟเย็น โอเลี้ยง เป็นกาแฟโบราณจริงๆ  เวลาชง เขาจะมีกระบอกชง ที่มีผ้าขาวบางเป็นถุงใส่ผงกาแฟ   ตามเพลงที่ สุรพล สมบัติเจริญ ร้องในเพลงของปลอม  การชักเข้าชักออกของถุงชง เขามีวัตถุประสงค์ เพื่อที่จะทำให้น้ำกาแฟมีความเข้มข้น ได้มาตรฐานในด้านรสชาติ  บ่อยๆ ครั้งในช่วงวันหยุด  ที่ผมมาซื้อโอเลี้ยง ชาเย็น  ผมเคยเห็น ร้านเจ๊หมวยเอาเม็ดกาแฟและเม็ดมะขามมาคั่ว จากนั้นก็จะมาเข้าเครื่องบดให้เม็ดมันแตกละเอียด  แล้วเก็บใส่ลงในกระป๋อง  ผมยืนมองเขาทำ..ด้วยความอยากรู้ในขณะที่ผมยืนรอการชงโอเลี้ยงให้

    พูดถึงสมัยก่อน  เวลาที่ผู้ซื้อไปสั่งเครื่องดื่ม ประเภทต่างๆ ที่ร้านขาย เช่น โอเลี้ยง  กาแฟเย็น ชาดำเย็น ฯลฯ  ผู้ซื้อมักจะมีกระป๋องอลูมิเนียม  เตรียมไปเอง.. เพื่อใส่ เครื่องดื่มตามสั่ง   .บางคนมีกระติกน้ำแข็งใบเล็กๆ ตรายูงทอง ก็จะนำไปให้ร้านใส่เครื่องดื่มที่ชงให้  ผมได้สัมผัส- และลิ้มรสกับกาแฟ โอเลี้ยง มาตั้งแต่เด็กๆ

    ทุกครั้ง ที่อยากกิน โอเลี้ยง หรือ กาแฟ  มักจะถูกแม่ดุเสมอ

    “อย่ากินมาก.. พอๆๆๆ แล้ว  เดี๋ยวตาแข็งแล้วจะนอนไม่หลับ” แม่บอก

    ข้อเท็จจริงตามทางการแพทย์  คงไม่น่าเกี่ยว.เพราะจริงๆ แล้วในกาแฟ  มีคาเฟอีน เป็นยากระตุ้นให้ตื่นตัว ดังในเครื่องดื่มชูกำลัง. ทุกยี่ห้อมีส่วนผสมอยู่ด้วย ..  ทำให้คนกินกระฉับกระเฉงมากขึ้น

    เมื่อผมเรียนชั้นประถม-มัธยมต้น จำเป็นต้องตื่นตีสี่ทุกวัน เพื่อช่วยแม่ทำขนมขาย   ช่วงนี้ ผมจึงต้องพึ่งพากาแฟเพื่อแก้ง่วง (บ้าง) แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร..  และก็กินเรื่อยมา ยุคก่อน ประชาชนที่ประกอบอาชีพรับจ้างขนสินค้าหนีภาษี   ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา  ต้องกินกาแฟแก้ง่วง เพื่อให้สามารถทำงานได้ จึงมักพึ่งพา กาแฟดำ  (โอยั๊วะ) หมายถึง การใช้น้ำกาแฟโบราณชงแบบเพียวๆ    โดยไม่ต้องเติมน้ำตาลหรือนมข้นเลย  ผมเคยลองกินดูในบางครั้ง ที่แม่ให้ไปซื้อ “ขมปี๋เลย” เรื่องแบบนี้ นานาจิตตัง... บางคนชอบมากและต้องกินทุกวัน  ผมยังจำได้ว่าป้าเช็งเพื่อนบ้านของแม่  เคยฝากผมให้ไปซื้อกาแฟมาให้กิน   แกมีเงินค่าจ้างให้ผมเกือบทุกครั้ง..  เพื่อทำให้ผู้ซื้อให้มีพลังการขับเคลื่อน  ทั้งๆ ที่แก ก็มีลูกวัยเดียวกันกับผม  แต่กลับไม่ยอมใช้ลูกให้ไปซื้อมาให้กิน..

    ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือพิมพ์  หนทางที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ได้ คือ..ต้องสั่ง โอเลี้ยง ชาดำเย็น หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ทางร้านมีจำหน่าย การได้สั่งเครื่องดื่มมากินพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย มันมีอรรถรส   สายตาก็เพ่งอ่านข่าว.   ปากก็ก้มดูดโอเลี้ยงไป เป็นระยะๆ  พลางใช้หลอดเขี่ย น้ำแข็งเข้าปากอมหรือเคี้ยวบ้าง..   ได้ทั้งความรู้   ได้ทั้งความเพลิดเพลิน ความรู้เหล่านี้  จึงเป็นวัตถุดิบที่สั่งสมมากว่า 50 ปีและได้ถูกนำมาใช้เขียนบอกเล่าประสบการณ์ให้ (อ่าน) ฟัง

    สมัยก่อนการกินกาแฟ  ส่วนใหญ่ทางร้านจะใช้นมข้นและนมสด  ที่ทำให้มีรสชาติมันอร่อยมากขึ้น  เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลง ครีมเทียม   จึงถูกคิดค้นขึ้นมาให้พวกคอกาแฟ ทั้งหลาย ให้ได้รับความสะดวก  และประหยัด เนื่องจากวัตถุดิบมีราคาถูกกว่า

    เหตุการณ์ที่ผมจะเล่าเกี่ยวกับครีมเทียม  ต่อไปนี้ ได้เกิดขึ้นเมื่อปี 2526  เมื่อนักดนตรีและนักร้องวง ชาวทุ่ง   (วงดนตรี ที่หน่วยงานของผมรวมตัวกันเอง)

    ก่อนหน้าที่พวกเรา จะจัดงานสังสรรค์   ช่วงส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ หรืองานสงกรานต์  งานจัดเลี้ยงที่มีแขกจากภายนอกมาเยือน เพื่อประชุมสัมมนา เราต้องไปหา(จ้าง) วงดนตรีจากในเมือง ซึ่งต้องมีราคาแพงมาก  ผอ. ทั้งสองหน่วยงาน  จึงดำริว่าเราควรมีวงดนตรีเป็นของตนเอง....จึงได้นัดประชุม  เพื่อจัดทีมนักดนตรีและนักร้องเป็นของหน่วยงาน ของเราเอง   ผมจึงได้เข้าสังกัดเป็นนักร้องของวงชาวทุ่ง ในฐานะนักร้องนำ  พิธีกรในวงชาวทุ่ง  คือ อ.นัย+การเป็นนักร้องด้วย ในวงชาวทุ่ง  มีนักดนตรีครบทุกตำแหน่ง ระยะแรกพวก เราจะนัดฝึกซ้อมสัปดาห์ละสองครั้ง และหากมีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในหน่วยงานของเรา ในโอกาสต่างๆ    การร้องและเล่นเพลงก็จะต้องซ้อมกันอย่างทุ่มเทและจริงจัง เพื่อให้เกิดความมั่นใจด้วยกันทุกคน

    สองวัน..ก่อนมีงานพบปะสังสรรค์   พวกเรามีการซ้อมเล่นดนตรีและร้องเพลงกัน ตั้งแต่หัวค่ำ-จนเที่ยงคืน  พี่แดง ผู้อาวุโสสูงสุดในขณะนั้น ได้เอ่ยปากพูดกับสมาชิกในวงว่า

    “พี่ว่า..  คืนนี้ทุกคน หยุดซ้อมกันแค่นี้ก่อนดีกว่า  หลายๆ คนเริ่มง่วงนอนแล้วล่ะ” พี่แดงพูด

    “ขอไปกินกาแฟแก้ง่วงที่บ้านพี่แดงได้มั้ย”  สมาชิกในวงดนตรีชาวทุ่ง คนหนึ่งเอ่ยปากขึ้น

    “ได้สิ งั้นไปบ้านพักพี่.. เดี๋ยวนี้เลย  พวกเรา” สมาชิกในวง ชาวทุ่ง สลายวง  พร้อมช่วยกันเก็บอุปกรณ์ดนตรีให้เข้าที่ จากนั้นทุกคน..ก็เดินบ้าง  ขี่จักรยานยนต์บ้าง ไม่ถึง 5นาที ก็ถึงบ้านพี่แดงซึ่งอยู่ใกล้ดอย

    พี่แดงพักอาศัยที่บ้านหลังนี้เพียงคนเดียว  เขาเป็นคนจังหวัดเชียงใหม่เรียนจบ     ที่แม่โจ้ เป็นที่รักนับถือของน้องๆ เพราะเป็นคนมีบุคลิกกันเอง  ยิ้มแย้ม  แจ่มใส  ขี้เล่น เขามีมอเตอร์ไซด์วิบากคู่ชีพ ขนาด 150  ซีซี   ไว้เดินทางไป-กลับ  ลำปาง-เชียงใหม่ ของทุกๆ เย็นวันศุกร์ เพื่อกลับไปอยู่กับครอบครัว และช่วงเช้าวันจันทร์ พี่แดง ก็จะขี่จักรยานยนต์ มาทำงาน ที่ลำปาง

    เจ้าของบ้านเปิดประตู พร้อมเดินเข้าไปผลักบานหน้าต่างในบ้าน เพื่อให้มีอากาศถ่ายเทและมีอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ที่พัดมาจากตีน (เขา) ดอย  ที่โต๊ะรับแขก  วันนี้คับแคบลงไปชั่วขณะ เพราะมีสมาชิกวงดนตรี มาเยี่ยมเยียนเกือบสิบคน

    “พี่ขอไปต้มน้ำ เพื่อกินกาแฟ ก่อนนะ ทุกคนตามสบายครับ” พี่แดง พูดย้ำอีกครั้ง ในขณะที่รอน้ำชงกาแฟให้มันเดือด  บางช่วง บางตอน เราก็ยังคุยเรื่องดนตรีกันบ้าง พร้อมมีการจัดทำสคริปต์  ลำดับเพลงก่อนหลัง      ที่จะปล่อยออกสู่สายตาแขกที่มาร่วมในงานสังสรรค์   โดยสมาชิกในวงได้ร่วมกันเสนอ ให้ปล่อยเพลงช้าๆ  สบายๆ นำร่อง ผมจึงต้องรับหน้าที่เป็นคนเปิดวง (ร้อง) ก่อนเป็นคนแรก

    “เพลงลุ่มเจ้าพระยา  เป็นเพลงช้า และมีความหมายดีด้วย” อ.ยุทธ พูด

    “ผมเห็นด้วยครับ” ผมตอบ

    “งั้น...ขณะรอน้ำร้อนที่กำลังต้ม   เรามา..ลองซ้อมกันอีกรอบ..  กว่าน้ำจะเดือด ก็เกือบ 15 นาที นะ เราใช้กีตาร์โปร่งนี่แหละ   ไอ้ขลุ่ยพร้อมนะ” พี่แดงพูด

    ”พร้อมครับ” ผมตอบ

    มือหลีดกีต้าร์  เริ่มค่อยๆ แกะทำนองเพลง ซึ่งบางช่วง..  มันยังไม่ลงตัว  ผมก็บอกให้เขาแก้ไขให้ดีขึ้น มือลี๊ดก็ลองทำซ้ำๆ หลายครั้งจนชำนาญ 

    “เอาจริงแล้วนะ ทีนี้” พี่แดงพูด

    ...........................................................................................................

    ดนตรีเริ่มบรรเลงทำนองแล้ว ผมฟังทำนองและรอจนถึงช่วงที่ “ต้องร้อง..”

    “ลุ่มเจ้าพระยา เห็นสายธาราไหลล่อง  เพียงแต่มองหัวใจให้ป่วน น้ำไหลไป มักไม่ไหลทวน ชีวิตเราไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน

    เราเกิดมาผูกใจรักกันดีกว่า  เพราะว่าชีวาแสนสั้น. เราอย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน  ทิ้งชีวิตอันสุขใจ

    อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชยชิดมั่น จงผูกพันรักกันด้วยใจ ขอจงเป็นเหมือนเช่นนกไพร ที่เหินบินคู่กันไป หัวใจคู่กัน (ผมต้องร้องซ้ำสองเที่ยว เพราะเนื้อเพลงสั้นมาก)

    ผมซ้อมร้องอยู่หลายเที่ยว  จนไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย  เมื่อน้ำเดือดแล้ว  พี่แดง เจ้าของบ้านจึงบอกสมาชิกในวงชาวทุ่ง 

    “ใครจะกินอะไร เข้าไปในห้องครัว กาแฟวางที่ชั้นนะ” พี่แดงพูด

    เจ้าของบ้าน ประเดิมชงให้ตนเองก่อน  บ้านซึ่งชายหนุ่มอยู่ตามลำพัง  จึงไม่ได้ จัดเก็บอะไรเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบ  ดังบ้านของคนมีแม่บ้านอยู่ด้วย  พี่แดงเดินออกมาจากห้องครัวพร้อม ยกถ้วยกาแฟที่ชงแล้วเป่าให้คลายความร้อนลง

    “ตามสบายนะพวกเรา คอฟฟี่เมท ..อยู่ในกระป๋องอลูมิเนียมที่ปิดฝา” พี่แดงบอก

    บางคนที่ร่างกายมีกำลังวังชาดี   ก็นั่งกินเหล้าต่อ  บางคนง่วง  จึงขอกินกาแฟก่อน อ.วีระรัตน์ กับ อ.ยุทธ์ เข้าไปในครัวหยิบแก้วเซรามิคที่ชั้นวางแก้ว แล้วหยิบขวดกาแฟ เปิดฝาออก แล้วใช้ช้อนตักกาแฟคนละสองช้อนชา  จากนั้นจึงหยิบกระป๋อง อลูมิเนียมตามที่พี่แดงบอก    บรรจงตักผงสีขาวลงในแก้วไปคนละสองช้อนครึ่ง  แล้วใช้ช้อนแกว่งๆ ให้ครีมเข้ากับกาแฟ..      ทั้งสองคนถือแก้วไปวาง กลางโต๊ะรับแขกที่เป็นเก้าอี้หวาย แต่มีกระจกวาง ทับอีกครั้ง  แล้วนั่งคุย หยอกล้อ ไปตามประสาคนสนิทสนม

    ครั้นกาแฟคลายร้อน อ.วีระรัตน์ ก็ยกขึ้นซด.... เขามองในแก้ว เห็นฟองมันมากผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร.  . ด้วยความมึนเมามาก่อนหน้า   จึงมิอาจรู้รสชาติของกาแฟเลยสักนิด  เขาวางแก้วลงอีกครั้ง แต่ตาได้มองไปในแก้วเคลือบความฉงนในใจ

    “ เฮ้ย .. คอฟฟี่เมท บ้านพี่แดง ทำไม... แม่งฟองเยอะ...จังวะ แถมรสชาดิ ก็แย่”  วีระรัตน์พูด 

    เขายังบ่นพึมพำด้วยความกังขาในครีมเทียมยี่ห้อนั้น...    อ.ยุทธ์ ซึ่งกำลังตั้งใจ ฟังคนอื่นๆ พูดคุย ไม่ได้สังเกตสังกา.. ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับแก้วกาแฟ ของวีระรัตน์ เขาจึงซดกาแฟเข้าในปาก โฮกใหญ่     เมื่อกาแฟที่ได้สัมผัสในปาก ซึ่งมันไม่คุ้นลิ้น และมีรสชาติที่ เฝื่อน ปะแล่มๆ  เขาถึงกับต้องบ้วนกาแฟ ที่กำลังจะกลืนลงท้อง ซึ่งมันก็สวนขึ้นทันที  

    ”โอ๊ก..”     อ. ยุทธ์ อาเจียรออกมา

    “พี่แดง ทำไม..คอฟฟี่เมท บ้านพี่รสชาติ เป็นอย่างนี้ ..” อ.ยุทธ พูดด้วยความสงสัย

    เจ้าของบ้าน เดินมาที่ถ้วยกาแฟของวีระรัตน์และ อ. ยุทธ์  เห็นฟองลอยฟ่องในแก้วกาแฟ ซึ่งมันมากผิดปกติ จึงย้อนถามทั้งสองคน  

    “มึงเติมคอฟฟี่เมท  ในกระป๋องใบไหนล่ะ” พี่แดง ถาม

    “ด้านขวาน่ะ ใกล้ขวดเกลือ  น่ะพี่” วีระรัตน์พูด

    “เฮ้ย  สงสัย เอ็งไปเติมกระป๋อง  ผงซักฟอกแล้วล่ะ” พี่แดงเฉลย

    “ไม่รู้แหละ.. พอผม เปิดฝากระป๋องได้   ผมก็ตวงใส่คนละช้อน กับไอ้ยุทธ์” วีระรัตน์พูด

    ทั้งสองคนหันหน้ามาสบตากัน..ได้รับรู้แล้วว่า  สิ่งที่เขาสองคน เติมลงไปหาใช่ครีมเทียม ยี่ห้อดังๆ ไม่..

    “ไอ้ยุทธ์ มันกินกาแฟ  ผสมครีม ยี่ห้อแฟ๊บ ..ว่ะ”   วีระรัตน์เย้าเพื่อน

    “มึงก็กิน..ครีมเทียม ยี่ห้อบรีส เหมือนกัน” ยุทธ์ ตอบกลับ ทันควัน

    ทั้งคู่ ได้รับรู้ รสชาติกาแฟ ที่มีรสชาติที่ดีที่สุดในโลก ก็วันนี้.. พี่แดงยิ้มๆ พึงพอใจกับแขกที่ประหยัด ครีมแท้.. ให้..

    “ไอ้ห่า  ไม่ดูให้ดีเสียก่อนว่าอะไรครีม  อะไรผงซักฟอก” พี่แดงพูด

    “เป็นความผิดของพวกผมเหรอพี่.. นี่ .. ผงมันสีขาวและก็ละเอียดเหมือนกัน  พวกผมก็เพิ่งมาบ้านพี่แดง เป็นวันแรก คนบ้าอะไรวะ.. เอากาแฟ มาไว้คู่ผงซักฟอก   ใครจะไปรู้ ล่ะ”  วีระรัตน์ พูด

    เวลาผ่านมากว่า 33 ปี..    ที่หลายๆ คนอาจลืมไปหมดแล้ว..

    จึงนำมาย้อนรอย เตือนความทรงจำ..

    ขลุ่ย  บ้านข่อย   ๓๐ เมษายน ๒๕๖๐

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×